วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ตอนที่ 2 ตรวจสอบ “LQ.” Love Intelligence Quotient ของคุณเองแล้วหรือยัง ? คลิกฟังที่นี่...

ตอนที่2 " LQ"-Love Intelligence Quotient
ตรวจสอบLQ. ของคุณเองแล้วหรือยัง ? คลิกฟังที่นี่...

“การสำคัญมั่นหมายในความรักมากเกิน ไปมีโทษหลายอย่าง ในขั้นรุนแรงการเทิดทูนความรักอาจนำไปสู่การเบียดเบียนหรือฆาตกรรมได้ เช่น ฆ่าแฟนที่ทิ้งไป หรือฆ่าแฟนใหม่ของแฟนเก่า หรือฆ่าทั้งสอง หรือฆ่าตัวเอง โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นบ่อยเพราะการบ้าอารมณ์รัก หลงเชื่อว่าความรักคือ ตัวชีวิต ความรักหายไปเหมือนชีวิตไร้ค่า ไม่มีความหมายอีกแล้ว คนที่คิดผิดอย่างนี้เรียกว่ามี “LQ” Love Intelligence ต่ำมาก อยากจะฆ่า อยากจะทำร้ายอะไรก็ได้ เว้นแต่ความงมงายในอารมณ์ของตัวเอง”

“ พระพุทธองค์ตรัสว่า ตัวฉันที่เที่ยงแท้ถาวรไม่มี สิ่งที่มีอยู่และเรารู้ได้คือความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายและความรู้สึกนึกคิดต่างๆว่าเป็นตัวฉัน ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปตลอดเวลา เทียบเหมือนคนบ้าเชื่อว่าเป็นทาสดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเจ้าของจะได้สบาย ได้รวย ได้เจริญ ทั้งๆที่เจ้าของไม่มีตัวจริง ความยึดมั่นถือมั่นในกายและใจ หรือนามและรูปว่าเป็นตัวเรา เราอยากได้สิ่งต่างๆเพื่ออะไร? ก็เพื่อปกป้องและบำรุงตัวฉันนั่นเองแต่เนื่องจากว่า ตัวฉัน เป็นชื่อของกระแสธรรมชาติที่ไม่เที่ยง ไม่คงที่ มันทำให้รู้สึกพร่องอยู่เป็นนิจ...”

ตอนที่ 1 ตรวจสอบ"LQ"-Love Intelligence Quotient ของคุณเองแล้วหรือยัง ? คลิกฟังที่นี่...

ตอนที่ 1 LQ-Love Intelligence Quotient
ตรวจสอบLQ. ของคุณเองแล้วหรือยัง ? คลิกฟังที่นี่...

“ อะไรคือเสน่ห์ของความรัก ในช่วงแรกมันเป็นยาแก้ความเซ็งความเบื่อหน่ายชีวิตที่ดี สำหรับผู้ที่จืดชืดไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่เรื่องตรากตรำ หรือว่างเปล่าเท่านั้น หรือรู้สึกว่าตัวเองเคว้งคว้างไม่รู้อยู่เพื่ออะไร ความรักสามารถสร้างความตื่นเต้นและความหมาย ความรักในเบื้องต้นเป็นความเมา หรือความไม่สงบที่คนเราไม่รังเกียจ อารมณ์ขึ้นลงอย่างรุนแรง ขึ้นสวรรค์ ตกนรกบ่อยๆ ทำให้คนที่มีความรักรู้สึกคึกคัก มีชีวิตชีวา… ”

“ การชำระความรักเป็นสิ่งจำเป็นเพราะอะไร คำตอบง่ายๆคือมันสกปรกได้ ความสกปรกที่นี่หมายถึงทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ ในเมื่อเราทุกคนไม่ต้องการความทุกข์แม้แต่นิดเดียว และปรารถนาความสุขแม้แต่เล็กน้อยก็ยินดี เราต้องระวังให้ส่วนประกอบของชีวิตต่างๆรวมถึงความรัก เอื้อต่อความสุข ปลอดภัยจากความทุกข์ให้มากที่สุด เพราะฉะนั้น ความรักเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราต้องฉลาด และรู้เท่าทัน... ”

บทความโดย พระอาจารย์ ชยสาโร ภิกขุ
นามเดิม Shaun Chiverton ชาว อังกฤษ
อดีต รักษาการเจ้าอาวาส วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี

พุทธทำนายเรื่อง กำเนิดของมนุษย์และเพศหญิง-ชาย

พุทธทำนายเรื่อง กำเนิดของมนุษย์และเพศหญิง-ชาย

สมัยเมื่อโลกและจักรวาลนี้พินาศหมดสิ้น จักรวาลนี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยน้ำ สัตว์โลกทั้งหลายก็ตายหมดเสียสิ้น....
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโลก สิ่งมีชีวิต-สัตว์และมนุษย์จะเกิดมาได้อย่างไร ?? ต้องลองฟังคำพุทธทำนายนี้ดู...

<+>การซื้อตั๋วไปนรก...คลิกฟังที่นี่

<+>การซื้อตั๋วไปนรก...คลิกฟังที่นี่

คนจำนวนไม่น้อย กำลังแห่ซื้อตั๋วไปนรกจนแน่นแทบเต็มทุกขุมนรก การซื้อตั๋วก็ง่ายนิดเดียวคือ การกระทำ ประพฤติอะไรๆด้วยความไม่มี หิริ-โอตัปปะ คือไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ไม่มีการข่มใจ บังคับยับยั้งชั่งใจ
.......... ท่านเป็นคนหนึ่งที่กำลัง จองคิว-ซื้อตั๋วไปในนรกอยู่ ใช่หรือไม่??.....


นรกมีทั้งหมด456ขุม รวมโลกันตนรกเป็น 457ขุมเช่น...
1.สัญชีวะนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 500 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 9 ล้านปี บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ..ฆ่าสัตว ลักทรัพย์ แย่งชิงที่ดินวัดวาอาราม

2.กาฬสุตตะนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 1,000 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 18 ล้านปี บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ ตัดมือตัดเท้าผู้อื่น ด่าว่าผู้มีศีล ยุยงผู้อื่นให้แตกร้าวกัน ออกดอกเบี้ยแพง ดื่มสุรา

3.สังฆาตนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 2,000 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 36 ล้านปี
บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ ใช้สัตว์เป็นพาหนะอย่างทรมาร ทิ่มแทง-เผาสัตว์ทั้งเป็น-ทรมานสัตว์ให้ตายอย่างทรมานสาหัส

4.โรรุวนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 4,000 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 72 ล้านปี บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ เป็นพยานเท็จ เห็นแก่สินบน แย่งชิงเอาธรณีสงฆ์ แย่งชิงภรรยา-สามี-ทรัพย์ของผู้อื่น

5.มหาโรรุวนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 8,000 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 144 ล้านปี
บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ ขโมยของสงฆ์ ปล้นสะดม ฉ้อฉลคดโกง เบียดเบียนคนและสัตว์


6.ตาปนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 16,000 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 288 ล้านปี
บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ เผาบ้าน เผาเมือง เผาโรงเรียน ทิ่มแทงฆ่าฟันด้วยหอกแหลนหลาวมีดด้วยความโหดร้าย โหดเหี้ยม ทารุณ

7.มหาตาปนนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 32,000 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 576 ล้านปี
บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ คล้ายตาปนรก

8.อเวจีนรก อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ 64,000 ปีนรก คิดเป็นปีในโลกมนุษย์ได้ 1,152 ล้านปี
บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ อาจิณกรรมคือบาปกรรมที่ทำบ่อยๆเป็นประจำเช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นชู้เขา หลอกลวงพูดเท็จ ดื่มสุรา เป็นประจำสม่ำเสมอ หรือทำลายชื่อเสียงท่านผู้มีศีลธรรมพระอริยเจ้า และกระทำอนันตริยกรรมมี5 อย่าง เป็นต้น

...ส่วน โลกันตนรก ตั้งอยู่ในระหว่างแห่งจักรวาลทั้งสาม มีขนาดกว้างได้ 8 แสนโยชน์ อายุของสัตว์นรกในขุมนี้ท่านกำหนดไว้ในเวลาสิ้นกัปสิ้นกัลป์คือ เมื่อโลกนี้ฉิบหายไปด้วยไฟ,ดิน,ลมหรือ น้ำ สัตว์นรกในขุมนี้ถึงจะได้พ้นบาปกรรมนั้นๆ บาปกรรมที่ทำให้ไปตกในนรกขุมนี้คือ ผู้ที่มีความเชื่อว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ไม่มีมารดา ไม่มีบิดา ไม่มีผู้มีพระคุณ บุคคลเช่นนี้เรียกว่า พวกมิจฉาทิฎฐิ จึงไปตกในนรกขุมนี้....

พุทธทำนายเรื่อง ความยาวของโลก-วัฏสงสาร

พุทธทำนายเรื่อง ความยาวของโลก-วัฏสงสาร

บางสมัยอายุของมนุษย์มีอายุยืนยาวมากไม่เหมือนในยุคปัจจุบันนี้คือมีอายุยืนยาวเท่ากับ 10 ยกกำลัง 140 คือเลข1 ที่มีเลขศูนย์ต่อท้าย 140 ตัว และมีอิทธิฤทธิ์ไปไหนมาไหนสามารถเหาะเหินเดินฟ้าไปได้ อยากจะได้อะไรก็ไม่ต้องทำงานหามา เพียงแต่นึกคิดเท่านั้นสิ่งนั้นก็ปรากฏขึ้นมาสมใจ....

พุทธทำนายเรื่อง สมัย...เมื่อโลกมีพระอาทิตย์ 7 ดวง

พุทธทำนายเรื่อง สมัย...เมื่อโลกมีพระอาทิตย์ 7 ดวง

<+>ยมบาล-ถามปัญหา-จิตวิญญาณ…

<+>ยมบาล-ถามปัญหา-จิตวิญญาณ…

<+>พญายมบาล-ถามปัญหา-วิญญาณ
เมื่อผู้ตายไปแล้ว จิตวิญญาณของผู้นั้นต้องไปเกิดทันที เช่น เป็นเทวบุตร เทวธิดา พระพรหม เปรตผีอสุรกาย สัตว์นรก สัตว์4เท้า สัตว์2เท้า สัตว์เลื้อยคลาย สัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์น้ำต่างๆนานา แต่ก่อนที่เขาจะไปเกิดเป็นอะไรก่อนนั้น จะต้องถูก พญามัจจุราช-ยมบาล ถามปัญหาก่อน ปัญหานั้นคืออะไร??........

วิธีลดความอ้วน-แบบพุทธ ลด10-20กิโลกรัม ภายใน1-3เดือน

วิธีลดความอ้วน-แบบพุทธ
ลด10-20 กิโลกรัม ภายใน 1-3เดือน (โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย ทั้งยังมีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้น)

คนสมัยนี้รับประทานอาหารเกินความจำเป็นต่อความต้องการของร่างกาย เพราะ
เทคโนโลยีการผลิตอาหารมีการพัฒนามากขึ้น จึงมีอาหารให้มนุษย์เลือกบริโภครับประทานมากมายเหลือเฟือ หรือการทานอาหารไม่เป็นเวลาเช่น ทานอาหารเช้า ตอนมื้อเที่ยง ทานอาหารเย็นตอน3ทุ่ม4ทุ่ม แล้วก็เข้านอนเลย แต่ผลวิจัยทางการแพทย์วิจัยออกมาว่า การทานอาหารเย็นแล้วก็รีบเข้านอนเลยภายใน5-6 ชั่วโมง จะทำให้เราอ้วนเร็วมากกว่าคนปกติ 2 เท่า เพราะอาหารยังย่อยไม่ทัน หรือนำไปใช้งานใดๆ จึงสะสมตัวในรูปของไขมันทันที แต่ถ้ารับประทานอาหารเย็นแล้วรีบเข้านอนภายใน2-3ชั่วโมง จะทำให้เราอ้วนเร็วมากกว่าคนปกติ 3-4 เท่า ดังนั้นเราจึงอ้วนอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนวิธีลดความอ้วน-แบบวิธีพุทธ คือ การทานอาหารเฉพาะที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์จริงๆเท่านั้น คือ 1-2มื้อเท่านั้น คือ มื้อเช้า และมื้อกลางวัน(ก่อนเที่ยง) เพราะอาหารเช้า เป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล เพราะจะถูกแปรสภาพเป็นพลังงานของร่างกายที่นำไปใช้ได้ตลอดวันทั้งวัน
พลังงานนั้นจะถูกส่งไปเลี้ยงเซลล์สมอง และเซลล์ของร่างกายทุกๆส่วน อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่จริงแล้วอาหารเพียงมื้อเดียวก็เพียงพอสำหรับร่างกายมนุษย์แล้ว ดังครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้า กับพระอริยะสาวก สาวิกา ต่างก็รับประทานอาหารมื้อเช้าเพียงมื้อเดียวเท่านั้น

และต้องงดอาหารมื้อเย็นเพราะเป็นอาหารมื้อที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายเลย เพราะ เดี๋ยวเราก็ต้องเข้านอนแล้ว ร่างกายต้องการพักผ่อนอย่างจริงจัง แต่การทานอาหารมื้อเย็นนี้ทำให้ร่างกาย ต้องกลับทำงานอย่างหนักขึ้น เพราะ ระบบการย่อยอาหารเป็นระบบที่ร่างกายต้องใช้พลังงานมาก สังเกตได้จากหลายครั้งที่เราทานอาหารเสร็จใหม่ๆมักจะทำให้เราง่วงนอน หนังตาตก ง่วงซึม และถ้าเราทานอาหารแล้วเข้านอนเลย มักจะทำให้นอนฝันร้าย โรคลมกำเริบ ท้องอืด นอนก็อึดอัด นอนไม่ค่อยหลับ อาหารไม่ย่อยและโรคอ้วนก็จะถามหาเราอย่างแน่นอน

...ส่วน การถือศีล 8 ตามแบบวิถีพุทธศาสนาของเราที่เราทำตามสืบต่อกันมานานกว่า 2,500 ปีแล้ว ปัจจุบันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังทำได้ และทำต่อไป แต่คนส่วนมากยังอาจไม่รู้ถึง คุณประโยชน์ คุณสมบัติ อานิสงค์ และวิธีปฏิบัติๆก็มีแค่ 8 ข้อง่ายๆไม่ยาก หากแต่ต้องลองดูก่อน คือ


ศีลจรรยาข้อที่ 1. ไม่ฆ่าสัตว์
ศีลจรรยาข้อที่ 2. ไม่ลักทรัพย์
ศีลจรรยาข้อที่ 3. ไม่ผิดในคู่ครองของใครเช่นสามีภรรยาบุตรของผู้อื่นและ
ส่วนบุรุษต้องไม่สัมผัส กายสตรี และสตรีต้องไม่สัมผัสกายของบุรุษ เป็นการรักษาพรหมจารี(พรหมจรรย์)อย่างบริสุทธิ์แท้จริง ( อย่างน้อยก็ในช่วงวันที่เราตั้งใจอธิษฐานสมาทานเท่านั้น )
ศีลจรรยาข้อที่ 4. ไม่พูดปด
ศีลจรรยาข้อที่ 5. ไม่ดื่มสุรา เสพย์สิ่งเสพติดของมึนเมา เพื่อไม่ให้มนุษย์ขาดสติสัมปชัญญะ
ศีลจรรยาข้อที่ 6. ไม่ทานอาหารหลังเที่ยง แต่สามารถทานหรือดื่มน้ำผลไม้(ที่เรียกว่าน้ำปานะ)ได้ เช่น น้ำส้มคั้น ,น้ำฝรั่ง,น้ำองุ่น,น้ำหวาน,น้ำอัดลม,น้ำผึ้ง,น้ำชาทุกชนิด,กาแฟ,โกโก้ เป็นต้น ถ้าประเภทของเคี้ยวก็เช่น ลูกอม, บ๋วย, น้ำตาลปี๊ป เป็นต้น หรือสิ่งที่นับเข้าเป็นยา-เภสัชรักษาโรค เช่น สมอ,กระเทียมดอง,มะขามป้อม,เมล็ดทานตะวัน(ยาแก้โรคตา),ว่านหางจระเข้(ยาโรคท้อง) เป็นต้น
ศีลจรรยาข้อที่ 7. ไม่ดูการละเล่น ฟ้อนรำ หรือไปร่วมเล่น ละคร ลิเก มหรสพ ร้องรำทำเพลง และไม่นุ่งห่มเสื้อผ้าที่ไม่สำรวม หรือใส่เครื่องน้ำหอมจนมากเกินไป
ศีลจรรยาข้อที่ 8. ไม่นอนที่นอนที่สูง หรือที่นอนที่ทำด้วยนุ่น เพราะจะทำให้เมื่อนอนสบายเกินไปจะทำให้ประมาท นอนไม่มีสติ ขาดการพิจารณาทางปัญญา ( แต่ในทางการแพทย์การนอนที่นอนที่นุ่มเกินไป จะทำให้ผู้นอนเป็นโรคปวดหลัง หลังคดงอได้ เมื่อปวดหลังก็ ทำให้นอนไม่หลับอยู่ดี สู้ที่นอนฟูกธรรมดา ยังจะดีเสียกว่าอีก หลับสบายและเก็บรักษาก็ง่ายสะดวก )

....การรักษาศีล8 นั้นเราเริ่มจากการสมาทานหรือ การอธิษฐานรักษาเพียง แค่ หนึ่งวันหนึ่งคืนก่อนก็ได้ เช่นวันที่เราสะดวกไม่ต้องไปกินงานเลี้ยงนอกบ้านจะเป็นวันที่เราทำงานปกติก็ได้ หรือวันที่เราพักผ่อนอยู่บ้านเสาร์อาทิตย์ก็ได้ เพราะการทำบุญนั้นไม่จำเป็นจะต้องออกไปทำบุญนอกบ้าน เช่นออกไปทำบุญใส่บาตรที่วัด หรือสถานสงเคราะห์คนพิการ-สัตว์พิการ แต่สามารถทำอยู่ที่บ้านก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินใช้ทองอะไรก็เป็นการได้บุญเหมือนกัน แถมจะมีอานิสงค์มากกว่าด้วย เพราะเป็นการรักษาจิตใจ ฟอกใจให้ใสสะอาด งดการเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อศีลเรางดงาม จิตใจเราก็ผ่องใสมีพลังพลานุภาพ ความสุขที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน ก็จะปรากฏขึ้นแก่จิตใจเราในครั้งนี้อย่างน่าอัศจรรย์ อานิสงค์การรักษาศีลจึงมีมากกว่าการทำบุญบริจาคทานมากนัก และการรักษาศีล 8 ก็เหมาะสำหรับยุคปัจจุบันที่ไม่ต้องไปเหนื่อยทนกับปัญหามลพิษ-การจราจรที่ติดขัด และผู้คนที่วุ่นวายในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และที่ชุมชนต่างๆ


…และถ้าท่านสามารถ ถือศีล 8 ได้ 1 เดือนหรือ 3 เดือนติดต่อกันท่านก็จะมีร่างกายหรืหุ่นที่ดีขึ้นโดยน้ำหนักตัวของท่านจะลดลงไปอย่างน้อย 10-20 กิโลกรัมแน่นอน
ขอยกตัวอย่างผู้ที่ทดลองวิธีนี้แล้วสำเร็จ เช่น…
1.ชายผู้หนึ่ง แต่ก่อนมีน้ำหนัก 120 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านมา 1ปีเขามีน้ำหนักที่ 65 กิโลกรัม
2.คุณหมอด็อกเตอร์ ทันตแพทย์ ที่มหิดล ท่านหนึ่งแต่ก่อนเขามีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านไป 3เดือน เขามีน้ำหนักที่ 48 กิโลกรัม
3.ชายผู้หนึ่ง แต่ก่อนมีน้ำหนัก 68 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านมาไป 2 เดือน เขามีน้ำหนักที่ 54 กิโลกรัม
4.บุคคลผู้หนึ่ง แต่ก่อนเขามีน้ำหนัก 80 กิโลกรัม แต่ ลดความอ้วนด้วยวิธีพุทธ นี้ ผ่านไปไม่กี่เดือนเขามีน้ำหนักที่ 64 กิโลกรัม
5. และจักขอยกตัวอย่างบุคคลสำคัญในสมัยพุทธกาล เช่น นางวิสาขา “ มหารัตนะอุบาสิกาแห่งพระพุทธศาสนา ”
เธอเป็นเศรษฐีที่มั่งคั่งร่ำรวยมากในสมัยนั้น คือ มีเงินมากนับเป็น ร้อยๆโกฎิกหาปณะทองคำ (1 โกฏิ = 10,000,000 กหาปณะ , ถ้า1กหาปณะธรรมดา = 4 บาท เพราะฉะนั้น =4,000 ล้าน ส่วนกหาปณะทองคำนั้น ก็มีค่ามากนับไม่ได้ด้วย) โดยเธอก็ยังทำธุรกิจการงานตามปกติ เช่น ธุรกิจ ทำเหมืองแร่,การเงิน,การกสิกรรม,เกษตรกรรม,ปศุสัตว์ ต่างๆ แต่เธอจะรักษาศีล 8 ทุกวันพระ 7ค่ำ8ค่ำ , 14 ค่ำ15ค่ำ จนตลอดชีวิต(โดยเธอมีอายุยืนถึง 120 ปี)ถ้าสมัยปัจจุบันคือทุกเสาร์-อาทิตย์นั่นเอง และเธอก็เป็นสตรีที่มีความงดงามมากคือ สตรีประเภทเบญจกัลยาณี มีความงามทั้ง 5อย่าง คือ ผิวงาม ผมงาม ฟันงาม เนื้องาม วัยงามคืองามทุกวัย แม้เธอล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าระหว่างหลานสาววัย15 ปีของนาง กับตัวนางวิสาขาเอง ใครคือหลาน และใครคือยาย กันแน่ เพราะงามเหมือนกันมากจนดูไม่ออกเลย นี่แสดงว่าเธอมีความงามมากแม้จะผ่านพ้นวัยรุ่น วัยสาว มัชฌิมวัย จนเข้าสู่ปัจฉิมวัย เธอก็ยังคงงามอยู่ทุกๆวัย นี่เป็นบุคคลตัวอย่างที่แสดงให้เราประจักษ์ชัดว่า เธอประสบความสำเร็จทั้งด้านการงาน คือยังสามารถประกอบการงานตามปกติเป็น Working Woman ในสมัยนั้นทั้งเป็นมหาเศรษฐีนีที่ร่ำรวยมากๆนับ 1,000 ล้านกหาปณะทองคำ แต่เธอก็แบ่งเวลามาประพฤติธรรมได้คือรักษาศีล 8 ได้ทุกวันพระหรือทุกเสาร์อาทิตย์ ทั้งยังทำสม่ำเสมอได้ตลอดทั้งชีวิต ส่วนชีวิตทางธรรม เธอก็สามารถเป็นถึงอริยสาวิกา ชั้น พระโสดาบัน โดยพระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งเป็น มหาอุบาสิกา ผู้เป็นเลิศด้านอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเยี่ยมด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง นี่คือตัวอย่างอานิสงค์เพียงหนึ่งตัวอย่างเท่านั้น ของการตั้งใจประพฤติรักษาศีล 8 อย่างเป็นประจำ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ขอเพียงให้ท่านลองทำดูก็แล้วกัน เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

ดังพุทธดำรัสตรัสว่า ……..

“ การทำบุญให้ทาน 100 ครั้ง ไม่เท่า รักษาศีล 5 เพียงครั้งเดียว,การรักษา ศีล 5 ถึง 100 ครั้ง ไม่เท่าการรักษา ศีล 8 เพียงครั้งเดียว .”
และ “ ผู้มีชีวิตอยู่ถึง ตั้ง 100 ปี ไม่ประเสริฐเท่าผู้มีชีวิตอยู่ด้วยศีลธรรม เพียงแค่ วันเดียว ยังประเสริฐกว่า”
และ “กลิ่นของหอมใดๆในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นดอกมะลิ , กลิ่นกฤษณา , กลิ่นจันทร์แดง ยังเป็นกลิ่นหอมที่หอมไปตามลมเท่านั้น แต่กลิ่นหอมของผู้มีศีล ย่อมหอมไปไกลทั้งสวรรค์และพรหมโลก ทั้งตามลมและทวนลมฉะนั้น”
และ “อานิสงค์ของผู้รักษาศีล 8 นี้แม้เพียงแค่กึ่งหนึ่ง หรือแค่เพียงครึ่ง วันเท่านั้น เมื่อผู้นั้นละอัตภาพจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดเป็น เทวบุตร เทวธิดา ชั้นดาวดึงส์ มีบริวาร พันหนึ่ง หรือไม่ก็ไปเกิดเป็นกษัตริย์ ราชา มหาเศรษฐี0ต่อไปนับชาติไม่ถ้วน ”



...สรุปการลดความอ้วนด้วยวิธีนี้ ท่านสามารถทานอาหารได้ทุกๆอย่างเหมือนเดิมตามที่ท่านชอบ ไม่มีข้อห้ามเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเจ, มังสวิรัติ,จะเนื้อหมู 3 ชั้น, ไข่,ปลา,เนื้อ,นม,ผักต่างๆได้ตามปกติ
แต่ขออย่างเดียวอย่าทานอาหารหลังเที่ยงเท่านั้นเอง ถ้าจะทานหลังเที่ยงขอให้เปลี่ยนมาดื่มน้ำผลไม้ที่มีผลดีต่อสุขภาพแทน แค่ท่านทำได้ตามนี้ 1-3เดือนเท่านั้น ท่านก็จะมีน้ำหนักลดลง 10-20 กิโลกรัมอย่างแน่นอน

...จึงขอให้ท่านที่แสวงหาสัจจะความดีงาม จงลองมาลดความอ้วน ด้วยวิธีพุทธ ดูเถิด ! ....เพื่อ ความสุขสงบ ของจิตใจ และสุขภาพที่ดี หุ่นหล่อสวยสมสัดส่วน ตามแต่ที่ท่านจะปรารถนาเทอญ...



ท่านสามารถแสดงทุกความเห็นได้ที่นี่...

ท่านสามารถแสดงทุกความเห็นได้ที่นี่...หรือแสดงความคิดเห็นแต่ละกระทู้ได้ที่นี่...
dhamma4you@gmail.com